เมนู

อรรถกถาสฬตนวิภังคสูตร



สฬายตนวิภังคสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวทิตพฺพานิ ความว่า พึงรู้ด้วยมรรค
อันมีวิปัสสนา. บทว่า มโนปวิจารา ได้แก่ วิตกและวิจาร. จริงมนะที่ยัง
วิตกให้เกิดขึ้น ท่านประสงค์ว่า มนะ ในที่นี้. ชื่อว่า มโนปวิจารา เพราะ
อรรถว่า เป็นความนึกหน่วงของใจ. บทว่า สตฺตปทา ได้แก่ ทางดำเนิน
ของสัตว์ทั้งหลาย ที่อาศัยวัฏฏะและวิวัฏฏะ. ก็ในที่นี้ ทางดำเนินสู่วัฏฏะมี
18 ประการ ทางดำเนินสู่วิวัฏฏะมี 18 ประการ. ทางดำเนินแม้เหล่านั้น
พึงทราบด้วยมรรคอันมีวิปัสสนานั้นแล. บทว่า โยคาจริยานํ ความว่า ผู้
ให้ศึกษาอาจาระมี หัตถิโยคะ เป็นต้น ได้แก่ ผู้ฝึกบุคคลที่ควรฝึก. บทที่
เหลือจักแจ่มแจ้งในวิภังค์นั้นเทียว. บทว่า อยมุทฺเทโส นี้ เป็นบทตั้งมาติกา.
อายตนะทั้งหลายมีจักษุอายตนะเป็นต้น ให้พิสดารแล้วในวิสุทธิมรรค. บทว่า
จกฺขุวิญฺญาณํ ได้แก่ จักษะวิญญาณทั้งสอง โดยวิบากของกรรมที่เป็นกุศลและ
อกุศล. แม้ในปสาทวิญญาณที่เหลือทั้งหลายก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ก็วิญญาณที่
เหลือเว้น วิญญาณ 5 ประการนี้ ชื่อว่า มโนวิญญาณในที่นี้. บทว่า จกฺขุ-
สมฺผสฺโส
ได้แก่ สัมผัสในจักษุ. นั้นเป็นชื่อของสัมผัสที่ประกอบด้วยจักษุ
วิญญาณ. ในสัมผัสทั้งหลายแม้ที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า จกฺขุนา รูปํ
ทิสฺวา
ความว่า เพราะเห็นรูปด้วยจักษุวิญญาณ. ในบททั้งปวงก็นัยนี้เหมือนกัน
บทว่า โสมนสฺสฏฺฐานียํ ได้แก่ เป็นเหตุด้วยอำนาจแห่งอารมณ์ของโสมนัส.
บทว่า อปวิจรติ ความว่า ใจย่อมนึกหน่วง ด้วยความเป็นไปของวิตก ใน
ความนึกหน่วงของใจนั้น. พึงทราบความนึกหน่วงของใจ กล่าวคือ วิตก

วิจาร 18 ประการ โดยนัยนี้ว่า วิตกฺโก ตํ สมฺปยุตฺโต จ. ก็ชื่อว่า
โสมนัสสูปวิจาร เพราะอรรถว่า นึกหน่วงพร้อมกับโสมนัสในบทว่า ฉ
โสมนสฺสูปวิจารา นี้. แม้ในบททั้งสองที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า เคหสิตานิ ได้แก่ อาศัย กามคุณ. บทว่า เนกฺขมฺมสิตานิ
ได้แก่ อาศัยวิปัสสนา. บทว่า อิฏฺฐานํ ได้แก่ อันแสวงหาแล้ว. บทว่า
กนฺตานํ ได้แก่ ให้ความใคร่ บทว่า มโนรมานํ ความว่า ใจย่อมยินดี
ในธรรมารมณ์เหล่านั้น เพราะฉะนั้น ธรรมารมณ์เหล่านั้น จึงชื่อว่า เป็นที่มา
ยินดีของใจ ธรรมารมณ์เหล่านั้น เป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ. บทว่า โลกามิส-
ปฏิสํยุตฺตานํ
คือ ประกอบด้วยตัณหา. บทว่า อตีตํ คือ อันได้เฉพาะแล้ว.
ถามว่า โสมนัส ปรารภปัจจุบันเกิดขึ้นก่อนจะเกิดขึ้นในอดีตอย่างไร. ตอบว่า
โสมนัสอันมีกำลัง ย่อมเกิดแก่บุคคลผู้หวนระลึก แม้ในอดีตว่า เราเสวย
อิฏฐารมณ์ในบัดนี้ฉันใด เราเสวยแล้วแม้ในกาลก่อนฉันนั้น. บทว่า อนิจฺจตํ
ได้แก่ อาการอันไม่เที่ยง. บทว่า วิปริณามวิราคนิโรธํ ความว่า ชื่อว่า
ความแปรปรวน เพราะละปกติ ชื่อว่า ความคลายไป เพราะไปปราศจาก
ชื่อว่า ความดับ เพราะดับไป. บทว่า สมฺมปฺปญฺญาย ได้แก่ วิปัสสนา-
ปัญญา. บทว่า อิทํ วุจฺจติ เนกฺขมฺมสิตโสมนสฺสํ ความว่า โสมนัสนี้
เกิดขึ้นแล้ว แก่บุคคลผู้นั่งเจริญวิปัสสนา เห็นความแตกดับของสังขารทั้งหลาย
เหมือนพระราชาทรงเห็นศิริสมบัติของพระองค์ฉะนั้น ในเมื่อวิปัสสนาญาณ
อันแข็งกล้า ถึงสังขารนำไปอยู่ เราเรียกว่า โสมนัสอาศัยเนกขัมมะ สมดัง
คาถาประพันธ์ที่ตรัสไว้ดังนี้ว่า
ความยินดีอันไม่ใช่มนุษย์ ย่อมมีแก่
ภิกษุ ผู้เข้าสู่เรือนว่างเปล่า มีจิตสงบแล้ว
เห็นแจ้งธรรมโดยชอบอยู่ ภิกษุเห็นความ

เกิดและความดับของขันธ์ทั้งหลาย ในกาล
ใด ๆ ย่อมได้ความปิติและปราโมทย์ใน
กาลนั้น ๆ อมตะนั้นอันภิกษุรู้แล้ว.

บทว่า อิมานิ ความว่า เหล่านั้น โสมนัสอาศัยเนกขัมมะ 6 อย่าง
เกิดแล้ว แก่บุคคล ผู้นั่งเจริญวิปัสสนา ด้วยอำนาจแห่งความไม่เที่ยงเป็นต้น
ในเมื่ออิฏฐารมณ์ไปสู่คลองในทวาร 6. บทว่า อตีตํ ความว่า โทมนัส
จงเกิดแก่บุคคลผู้ปรารถนาไม่ได้อิฏฐารมณ์ปัจจุบันก่อน จะเกิดในอดีต
อย่างไร. โทมนัสอันมีกำลัง ย่อมเกิดแก่บุคคลผู้หวนระลึก แม้ในอดีตว่า
เราปรารถนาแล้วไม่ได้อิฏฐารมณ์ในบัดนี้ ฉันใด เราปรารถนาแล้ว ไม่ได้
แม้ในกาลก่อนก็ฉันนั้น. บทว่า อนุตฺตเรสุ วิโมกฺเขสุ คือ อรหัต ชื่อว่า
อนุตตรวิโมกข์. อธิบายว่า ตั้งความปรารถนาในอรหัต. บทว่า อายตนํ
ได้แก่ อายตนะคือ อรหัต. บทว่า ปิหํ อุปฏฺฐาปยโต ความว่า
ตั้งความปรารถนา. ก็อายตนะนั้นย่อมเกิดแก่บุคคลผู้ตั้งความปรารถนานั้น.
อธิบายว่า ผู้เข้าไปทั้งความปรารถนา เพราะความที่อายตนะเป็นมูลรากของ
ความปรารถนา ด้วยประการฉะนี้. บทว่า อิมานิ ฉ เนกฺขมฺมสิตานิ
โทมนสฺสานิ
ความว่า โทมนัสอันเกิดแก่บุคคลผู้ตั้งความปรารถนาในอรหัต
ในเมื่ออิฏฐารมณ์ไปสู่คลองในทวาร. 6 อย่างนี้ ไม่อาจเพื่อจะดังวิปัสสนาให้
เจริญขึ้นด้วยอำนาจแห่งความไม่เที่ยงเป็นต้น เพื่อบรรลุอรหัตนั้น ดุจพระ-
มหาสิวเถระ ผู้อยู่ในเงื้อมใกล้บ้าน เศร้าโศกว่า เราไม่อาจแล้ว เพื่อบรรลุ
อรหัต ตลอดปักษ์นี้บ้าง ตลอดเดือนนี้บ้าง ตลอดปีนี้บ้าง ด้วยอำนาจ
ความเป็นไปแห่งสายน้ำตาเหล่านี้ พึงทราบว่า โทมนัสอาศัยเนกขัมมะ 6
ก็เรื่องราว ได้ให้พิสดารแล้วในสักกปัญหวัณณนา ในอรรถกถาทีฆนิกาย
ชื่อ สุมังคลวิลาสินี. ผู้ประสงค์พึงถือเอาจากอรรถกถานั้นเถิด.

อุเบกขาในอัญญาณ ชื่อว่า อุเบกขา ในบทนี้ว่า อุเปกฺขา. บทว่า
อโนธิชินสฺส ความว่า ขีณาสพ ชื่อว่า โอธิชินะ เพราะความที่พระขีณาสพ
ชนะข้าศึกคือกิเลสแล้วดำรงอยู่ เพราะฉะนั้นบทนี้ ได้แก่ปุถุชนผู้ไม่สิ้นอาสวะ.
ขีณาสพแล ชื่อว่าวิปากชินะ เพราะความที่พระขีณาสพชนะวิบากต่อไป
ดำรงอยู่ แม้ในบทนี้ว่า อวิปากชินสฺส เพราะฉะนั้น ผู้ไม่สิ้นอาสวะนั้นเทียว.
บทว่า อนาทีนวทสฺสาวิโน ได้แก่ ผู้ไม่เห็นโดยความเป็นโทษ. บทว่า
อิมา ฉ เคหสิตา อุเปกฺขา ความว่า อุเบกขาที่ไม่กลับสู่รูปเป็นต้น
ดุจแมลงวันที่จับงบน้ำอ้อย เมื่ออิฏฐารมณ์ไปสู่คลองในทวาร 6 อย่างนี้ทิศอยู่
ในรูปเป็นต้นนั้น เกิดขึ้นนี้ พึงทราบว่า อุเบกขาอาศัยเรือน 6. บทว่า
รูปํ สา สาติวตฺตติ ความว่า อุเบกขานั้นไม่ล่วงเลยรูป. ไม่ตั้งอยู่ด้วย
อำนาจความเบื่อหน่ายในรูปนั้น. บทว่า อิมา ฉ เนกฺขมฺมสิตา อุเปกฺขา
ความว่าอุเบกขาเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ไม่ยินดีในอิฏฐารมณ์ ไม่ยินร้ายในอนิฏฐารมณ์
เมื่ออารมณ์ที่น่าปรารถนาเป็นต้น ไปสู่คลองในทวาร 6 อย่างนี้ ไม่หลุ่มหลง
ด้วยการพิจารณาไม่รอบคอบ ประกอบด้วยอุเบกขาญาณเหล่านั้น พึงทราบว่า
อุเบกขาอาศัยเนกขัมมะ 6. บทว่า ตตฺถ อิทํ นิสฺสาย อิทํ ปชหถ
ความว่า ในทางดำเนินของสัตว์ 36 ประการนั้น พวกเธอจงอาศัยทางดำเนิน
18 ประการ ละทางดำเนิน 18 ประการ. ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า ตตฺร ภิกฺขเว ยานิ ฉ เนกฺขมฺมสิตานิ ดังนี้เป็นต้น. บทว่า
นิสฺสาย อาคมฺม ได้แก่อาศัยและอิง ด้วยอำนาจความเป็นไป. บทว่า
เอวเมเตสํ สมติกฺกโม โหติ ความว่า ชื่อว่า ล่วงเลยอุเบกขาอาศัยเรือ
เพราะความเป็นไปแห่งอุเบกขาอาศัยเนกขัมมะอย่างนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ละธรรมที่คล้ายกัน ด้วยธรรมที่คล้ายกัน
อย่างนี้แล้ว บัดนี้ ทรงให้ละธรรมที่ไม่มีกำลัง ด้วยธรรมที่มีกำลัง จึงตรัส

อีกว่า ตฺตร ภิกฺขเว ยานิ ฉ เนกฺขมฺมสิตานิ โสมนสฺสานิ ดังนี้ป็นต้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงให้ละโทมนัสอาศัยเนกขัมมะ ด้วยโสมนัสอาศัยเนกขันมะ
และโสมนัสอาศัยเนกขัมมะ ด้วยอุเบกขาอาศัยเนกขัมมะอย่างนี้ จึงตรัสการละ
ธรรมที่ไม่มีกำลัง ด้วยธรรมที่มีกำลัง. ก็บัณฑิตตั้งอยู่ในการละนั้น พึงกล่าว
อุเบกขา. ก็บุพภาควิปัสสนาของภิกษุ 8 รูป ผู้ปรารภวิปัสสนา ทำฌาน 3
มีปฐมฌานเป็นต้น ในสมาบัติ 8 และสังขารบริสุทธิ์ทั้งหลายให้เป็นบาท ย่อม
สหรคตด้วยโสมนัสหรือสหรคตด้วยอุเบกขา. ส่วนวุฏฐานคามินี สหรคตด้วย
โสมนัสเทียว. บุพภาควิปัสสนาของภิกษุ 5 รูป ผู้ปรารภวิปัสสนาทำฌานทั้งหลาย
มีจตุตถฌานเป็นต้นให้เป็นบาท ก็เป็นอันเดียวกับนัยก่อน. ก็วุฏฐานคามินี
เป็นอันสหรคตด้วยอุเบกขา. ทรงหมายถึงบทนี้ จึงตรัสว่า อุเบกขาอาศัย
เนกขัมมะ 6 ใด พวกเธออาศัยอุเบกขาเหล่านั้น อิงอุเบกขาเหล่านั้น จงละ
โสมนัสอาศัยเนกขัมมะ 6 ดังนี้ . ก็ภิกษุผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ย่อมมีคุณวิเศษ ด้วย
อำนาจแห่งเวทนา ด้วยวิปัสสนานี้อย่างเดียวก็หามิได้. คุณวิเศษ แม้แห่งองค์
ของฌาน โพชฌงค์ และองค์ของมรรคย่อมมีแม้ในอริยมรรค. ก็อะไรกำหนด
คุณวิเศษนั้น. เถระบางพวกกล่าวก่อนว่า ฌานซึ่งมีวิปัสสนาเป็นบาท ย่อม
กำหนด. บางพวกกล่าวว่า ขันธ์ทั้งหลายอันเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ย่อม
กำหนด. บางพวกว่า อัธยาศัยของบุคคลย่อมกำหนด. ในวาทะของเถระ
แม้เหล่านั้น วิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินี ในบุพภาคนี้เทียว พึงทราบว่า
ย่อมกำหนด. ส่วนวินิจฉัยกถาในข้อนี้ ได้กล่าวแล้วในสังขารูเปกขานิเทศใน
วิสุทธิมรรคเทียว.
บทว่า นานตฺตา ได้แก่ต่าง ๆ มาก มีประมาณมิใช่หนึ่ง. บทว่า
นานตฺตสิตา ได้แก่อาศัยอารมณ์ต่างๆ. บทว่า เอกตฺตา ได้แก่หนึ่ง. บทว่า
เอกตฺตสิตา ได้แก่อาศัยอารมณ์หนึ่ง. ถามว่า ก็อุเบกขานี้เป็นไฉน. ตอบว่า

ได้ตรัสอัญญาณูเบกขา ไว้ในหนก่อน. จะตรัสฉฬังคุเบกขาในข้างหน้า ทรงถือ
เอาอุเบกขา 2 อย่าง คือ สมถอุเบกขา วิปัสสนูเบกขา แม้ในที่นี้. ในอุเบกขา
2 อย่างนั้นเพราะอุเบกขาในรูปเป็นอย่างหนึ่ง อุเบกขาในเสียงเป็นต้นอย่างหนึ่ง.
ก็อุเบกขาในรูปย่อมไม่มีในเสียงเป็นต้น. อุเบกขาในรูปเท่านั้น ทำรูปเท่านั้นให้
เป็นอารมณ์. เสียงเป็นต้นย่อมไม่ทำรูปและความเป็นอุเบกขาให้ เป็นอารมณ์.
สมถอุเบกขาอื่น ๆ ก็คือ อุเบกขาที่ทำปฐวีกสิณให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้น. อุเบกขา
อื่น ๆ คือ อุเบกขาที่เกิดขึ้นเพราะทำอาโปกสิณเป็นต้นให้เป็นอารมณ์. เพราะ
ฉะนั้น เมื่อจะทรงจำแนกความเป็นต่าง ๆ และอาศัยอารมณ์ต่าง ๆ จึงตรัสว่า
อตฺถิ ภิกฺขเว อุเปกฺขา รูเป เป็นต้น ก็เพราะอากาสานัญจายตนะ หรือ
วิญญาณัญจายตนะ เป็นต้น ไม่มีสอง หรือสาม. เพราะฉะนั้น เมื่อทรง
จำแนกอาศัยอารมณ์หนึ่งจึงตรัสว่า อตฺถิ ภิกฺขเว อุเปกขา อากาสานญฺ-
จายตนนิสฺสิตา
ดังนี้เป็นต้น. บรรดาอุเบกขาเหล่านั้น อากาสานัญจายตนู-
เบกขา อาศัยอากาสานัญจายตนะ ด้วยอำนาจที่เป็นสัมปยุต วิปัสสนูเบกขา
ของภิกษุผู้เห็นแจ้งอากาสานัญจายตนขันธ์อาลัยอากาสานัญจายตนะ ด้วยอำนาจ
แห่งอารมณ์. ในอุเบกขาแม้ที่เหลือ ก็นัยนี้เหมือนกัน . ทรงให้ละรูปาวจร
กุศลสมาบัติอุเบกขา ด้วยอริปาวจรสมาบัติอุเบกขา ทรงให้อรูปาวจรวิปัสสนู-
เบกขา ด้วยอรูปาวจรวิปัสสนูเบกขา ในบทนี้ว่า ตํ ปชหถ ดังนี้ ตันหา
ชื่อว่า ตมฺมยตา ในบทนี้ว่า อตมฺมยตํ. วิปัสสนาอันให้ถึงการออกจากการ
กลุ้มรุม ของตัณหานั้น เรียกว่า อตมฺมยตา. ย่อมละอรูปาวจรสมาบัติ
อุเบกขาและวิปัสสนูเบกขา ด้วยวุฏฐานคามินีวิปัสสนา ในบทนี้ว่า ตํ ปชหถ.
บทว่า ยทริโย ความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นอริยเจ้า ย่อมทรง
เสพสติปัฏฐานเหล่าใด. ทรงตั้งพระสติในฐานะ 3 อย่างนั้น พึงทราบว่า
ทรงเสพสติปัฏฐาน.

บทว่า น สุสฺสุสนฺติ ความว่า ไม่ปรารถนาเพื่อเชื่อฟัง. บทว่า
น อญฺญา ความว่า ไม่ตั้งจิตเพื่อประโยชน์แก่การรู้. บทว่า โวกมฺม ได้แก่
ก้าวล่วง. บทว่า สตฺถุ สาสนํ ความว่า ไม่สำคัญซึ่งโอวาทของพระศาสดา
ที่ควรถือเอา ควรให้เต็ม. บทว่า เนว อตฺตมโน คือ ไม่มีใจเป็นของตน.
แต่ในที่นี้ ไม่ควรเห็นเนื้อความอย่างนี้ว่า ไม่ระคายเคือง ด้วยอำนาจโทมนัส
อาศัยเรือน. แต่ตรัสบทนั้นเพราะไม่มีเหตุแห่งความชื่นชม ในเหล่าสาวกผู้ไม่
ปฏิบัติ. บทว่า อนวสฺสุโต คือ ไม่ขวนขวายด้วยอำนาจขวนขวายความแค้น
เคือง. บทว่า สโต สมฺปชาโน ความว่า ถึงพร้อมด้วยสติ และญาณ
บทว่า อุเปกฺโข ความว่า วางเฉยด้วยฉฬังคูเบกขา. ไม่พึงทราบเนื้อความ
อย่างนี้ว่า มีความดีใจด้วยอำนาจโสมนัสอาศัยเรือน ในบทแม้นี้ว่า อตฺตมโน.
บทนั้น ตรัสแล้วด้วยความมีเหตุแห่งความชื่นชมในเหล่าสาวกผู้ปฏิบัติ. บทว่า
อนวสฺสุโต ได้แก่ ไม่ขวนขวาย ด้วยอำนาจขวนขวายด้วยราคะ. บทว่า
สาริโต ได้แก่ ฝึกแล้ว. บทว่า เอกํเยว ทิสํ ธาวติ ความว่า เมื่อไม่ให้
กลับวิ่งไป ชื่อว่า วิ่งไปสู่ทิศเดียวเท่านั้น. แต่ย่อมอาจเพื่อให้กลับวิ่งไปสู่ทิศ
อื่น. บทว่า อฏฺฐทิสา วิธาวติ ความว่า นั่งโดยบัลลังก์หนึ่ง ไม่กลับด้วย
กาย วิ่งทั่วทั้ง 8 ทิศ ด้วยครั้งเดียวเท่านั้น ด้วยอำนาจแห่งวิโมกข์. อธิบาย
ว่า ทรงมุ่งพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก หรือทิศใต้เป็นต้น ทิศใดทิศหนึ่ง
ประทับนั่งเข้าสมาบัติทั้ง 8 นั้นเทียว. บทที่เหลือในที่ทั้งปวง ง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาสฬายตนวิภังคสูตรที่ 7

8. อุทเทสวิภังคสูตร



[638] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อาราม
ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัส
แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราจักแสดงอุเทส-
วิภังค์แก่เธอทั้งหลาย พวกเธอจงพึงอุเทสวิภังค์นั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
ต่อไป. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า.
[639] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุพึงพิจารณาโดยอาการที่เมื่อพิจารณาอยู่ ความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไป
ภายนอก ไม่ทั้งสงบอยู่ภายใน และไม่พึงสะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น เมื่อความรู้
ไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่ตั้งสงบอยู่ภายใน และไม่สะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น
ย่อมไม่มีความเกิดแห่งชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ และสมุทัยต่อไป. พระผู้มี
พระภาคเจ้าได้ตรัสพระภาษิตดังนี้ ครั้นแล้วพระองค์ผู้สุคตจึงเสด็จลุกจาก
อาสนะ เข้าไปยังพระวิหาร.
[640] ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปแล้วไม่นาน ภิกษุเหล่านั้น
จึงได้มีข้อปรึกษากันอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงอุเทศโดยย่อแก่พวกเราว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงพิจารณาโดย
อาการที่เมื่อพิจารณาอยู่ความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่ตั้งสงบอยู่ภาย
ใน และไม่พึงสะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น เมื่อความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก
ไม่ตั้งสงบอยู่ภายใน และไม่สะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น ย่อมไม่มีความเกิดแห่งชาติ